5 centimeters per second - ยามซากุระร่วงโรย



5 เซนติเมตร ต่อ วินาที คือ ความเร็วที่ดอกซากุระร่วงหล่นพื้น

ไม่รู้ว่าประโยคนี้มันหมายถึง ความเร็วที่เร็วจนน่าใจหาย หรือว่า ความอ้อยอิ่งที่เชื่องช้าเกินไปกันแน่

--


--

(บทความมีการเปิดเผยเนื้อเรื่องบางส่วน)

มีคนแนะนำให้ลองดูอนิเมะเรื่องนี้ ประจวบเหมาะกับเจอใน Netflix โดยบังเอิญ แต่ในขณะนั้นพี่ที่พักอยู่
ด้วยก็กลับมาที่บ้านพอดี โดยปกติด้วยความที่ชอบดูหนังคนเดียวมากกว่า ก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้

ความประทับใจแรกจึงมาแบบแปลกๆ ทุกอย่างดูเนือยๆ อารมณ์ความรู้สึกดูจะลดระดับลงกว่าตอนที่ดูหนังคนเดียว แต่เนื้อเรื่องมันก็เรียบๆ เรื่อยๆ จริงๆ

ในเรื่องเล่าถึงพระเอก (ทาคากิ) กับ นางเอกในใจพระเอก (อาคาริ) ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่วันหนึ่งต้องแยกย้ายกันไป เรียนกันคนล่ะที่ อยู่กันคนล่ะจังหวัด ทั้งสองติดต่อผ่านกันทางจดหมาย และสุดท้ายก็นัดเจอกันในวันหนึ่ง โดยที่ทาคากิเป็นคนเดินทางไปหา

--



--

ระหว่างการเดินทางนั้น หิมะตกหนักจนทำให้รถไฟที่พระเอกนั่งไปล่าช้า ในเรื่องเป็นยุคสมัยก่อน ที่ทั้งสองคนยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอะไรที่สามารถติดต่อกันได้ในขณะนั้นเลย

ฉากนี้เป็นฉากที่สื่อถึงความน่ากลัวของการรอคอยได้ดีเป็นที่สุด เรียกว่าสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของพระเอกได้ขณะนั้นเลย

แม้จะยังไม่มีคนรักแบบพระเอกในเรื่องก็เถอะ แต่คนที่รออยู่น่ะมีแน่ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปเข้าเรียน การเดินทางไปทำงาน เดินทางไปสนามบิน หรือ นัดหมายสัมภาษณ์ไว้

ในช่วงเวลาที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากการรอคอย ไม่สามารถไปบีบคอเขย่าตัวพนักงานให้รถมันเคลื่อนไปได้เร็วได้ ไม่สามารถทำให้เวลายืดออกไปได้ หรือไม่สามารถแม้กระทั่งขอเลื่อนขอเวลานัดหมายออกไปได้

ในชั่วขณะนั้น เวลานั้นได้เดินเร็วปานติดจรวด แต่ก็เชื่องช้าจนน่ากลัว เป็นความขัดแย้งที่น่ามหัศจรรย์

เวลาไม่เคยหยุดเดิน มันยังคงหมุนไปเรื่อยๆ ด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวของพาหนะขณะนี้ ไม่มีทางทันเวลาแน่ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ นอกจากจ้องมองเวลาที่เคลื่อนไปทีละนาที หมดไปทีละนิด

ฉากในหนังมีทั้งความกระวนกระวายและความวุ่นวายในใจ พระเอกแทบจะไม่สามารถนั่งติดกับเก้าอี้ได้ จนกระทั่งอ่อนล้า มองนาฬิกาจนกระทั่งถอดออกเลิกมองมันไปในที่สุด วิ่งให้เต็มสุดฝีเท้ายามที่สามารถวิ่งได้

มันเป็นความรู้สึกของชีวิตอย่างหนึ่งจริงๆ

--



--

หลังจากนั้นเนื้อเรื่องก็ไม่ได้กล่าวถึงอะไรมาก พระนางสองคนไปพบกัน จากกัน ทั้งสองเริ่มเข้าเรียนในมัธยมต้นและมัธยมปลายต่างโรงเรียนกันเหมือนเดิม เนื้อเรื่องเล่ามาทางฝั่งพระเอก และตัวเอกอีกคนที่โผล่ขึ้นมา เป็นเพื่อนพระเอกที่แอบชอบพระเอก (สุมิดะ) ทั้งสองคนเรียนด้วยกัน และกลับบ้านด้วยกันบ่อยๆ แต่พระเอกก็ไม่สามารถลืมนางเอกได้ ยังคงคิดถึง และเริ่มเขียนจดหมายที่ไม่มีปลายทางผู้รับผ่านทางโทรศัพท์

จดหมายที่ไม่อาจส่งออกไปได้...เขียนแล้วก็ลบทิ้ง

ความรู้สึกนั้นมันค้างไว้เพียงปลายนิ้ว เพียงกดส่งก็จะออกไปได้แล้วแท้ๆ แต่ก็กลับลบมันทิ้งลงไปในที่สุด

--



--

ตอนสุดท้ายมาถึง ทั้งสองคนโตแล้วอยู่ในช่วงของวัยทำงาน แต่แทบไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย นางเอกกำลังจะแต่งงานและก้าวเดินไปข้างหน้า ส่วนพระเอกกลับติดอยู่ในห้วงความทรงจำ วันหนึ่งขณะนางเอกจัดเก็บของ จดหมายที่อยู่ในกล่องก็ได้กระตุ้นความทรงจำทั้งหมดขึ้นมาอีกครั้ง

ถ้าถามถึงฉากที่ประทับใจที่สุดในหนังเรื่องนี้ คงไม่พ้นตอนจบของเรื่อง มันเป็นจุดจบที่สวยงาม

เสียงเพลงคลอตอนที่พระเอกเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ทั้งสองอยู่คนล่ะที่แต่กำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง ฝันถึงบางสิ่ง เรื่องราวที่ผ่านมานานแล้วสมัยที่พวกเขานั้นยังเป็นเด็ก ณ ไร่นาผืนใหญ่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว มีเพียงรอยเท้าของพวกเขาและความหวังที่จะได้ดูซากุระด้วยกันอีกครั้ง

ในหนังฉายถึงย่างก้าวของแต่ล่ะคน หลังจากก้าวออกไปแล้ว เสียงเพลงก็พลันดังขึ้น เพลงเล่าเกี่ยวกับการเฝ้ารอที่จะได้เจอกันอีกครั้ง การมองหาแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

ภาพเล่าย้อนอดีตของพระเอกและนางเอกปรากฎขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง จดหมายเดิมที่เคยเขียนส่งอยู่ตลอดก็เริ่มหายไป ระยะทางทำให้ทั้งสองไกลกันเรื่อยๆ

เรื่องราวเล่ามาถึงตอนหลังสุดที่พระเอกเดินข้ามทางรถไฟ ซึ่งเป็นฉากรถไฟเช่นเดียวกับตอนเปิดเรื่องครั้งแรก กลับกันที่ทั้งสองเดินสวนกันแทนที่จะวิ่งไปด้วยกัน

ระหว่างที่เดินสวนกันพระเอกพลันชะงัก เมื่อเดินไปจนถึงสุดฝั่ง หันกลับไปอีกที รถไฟก็ได้มาคั่นระหว่างพวกเขาเอาไว้แล้ว

พระเอกยืนรออยู่ตรงนั้น แต่พอรถไฟหายไป เบื้องหน้าเขาก็ว่างเปล่า ไม่เจอใครยืนรออยู่ตรงนั้นอีก

ใบหน้าของพระเอกฉาบด้วยรอยยิ้มบางๆ ขยับเท้า หมุนตัวและเดินต่อไป...

--



--

ไม่ว่าจะฉาก ดนตรี หรือกระทั่งเสียงประกอบ ต่างลงตัวจนน่าใจหาย ฉากสุดท้ายแสดงถึงความรู้สึกและพลังบางอย่างที่งดงาม

มันเป็นความเหงาสุดซึ้ง ความสุขแสนหวาน และความโล่งจากการปล่อยวางเพื่อจะก้าวเดินไปข้างหน้า

แม้เรื่องราวบางอย่างจะไม่อาจเป็นไปตามที่เราคาดหวัง แต่สุดท้ายโลกของเราก็ยังคงหมุนอยู่ ชีวิตคนเราอาจจะถูกขีดให้ผ่านมาพบกัน ตัดกันที่จุดๆหนึ่ง แม้สุดท้ายจะแยกจากกันไป แต่เราก็ยังคงต้องเดินต่อไป

...




















ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

47 Meters Down - ดิ่งลึกเฉียดนรก